การประยุกต์การสอนกับขั้นตอนการสอนด้วยขั้นบันได
การจัดการเรียนรู้ในอนาคต
ที่มา : http://www.birdkm.com/outside-classroom/outsideclass/newlearningc21
ในการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นการศึกษาเพื่อพัฒนาด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านการความรู้สึกนึกคิด โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติและกระทำด้วยตนเอง
1.ทักษะพื้นฐาน ได้แก่ สื่อสารสองภาษา การดำเนินงาน การแก้ปัญหา การใช้ ICT และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2.ทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตน ได้แก่ เห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตนเอง ตระหนักรู้ในตนและรู้จักตนเอง มีทัศนะเชิงบวกต่อการเรียนรู้ จัดการหรือควบคุมตนเองได้ และคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
3.ทักษะพลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคมโลก ได้แก่ มีส่วนร่วมกับกิจกรรมชุมชนหรือสังคม เคารพความหลากหลาย มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการสร้างให้เกิดความเท่าเทียม ความยุติธรรมในสังคม
4.ทักษะการทำงาน ได้แก่ วางแผนงานหรือกิจกรรมได้ มีทักษะการจัดการตนเองและผู้อื่น ตรงเวลา มีวินัย ทำงานด้วยตนเองได้ จัดลำดับความสำคัญของงานและทำงานได้ตามเวลา สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ตั้งใจเตรียมการล่วงหน้าและยืดหยุ่น และมีจริยธรรมในการทำงาน
การพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเพื่อปรับตนเองในปัจจุบัน
ให้พร้อมรับกับสิ่งที่จะตามมาในอนาคต
1. มนุษย์มีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ผู้สอนจึงต้องใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย
2. ผู้เรียนควรเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ของตนเอง ไม่ใช่นำความรู้ไปใส่สมองผู้เรียน แล้วให้ผู้เรียนดำเนินรอยตามผู้สอน
3. โลกยุคใหม่ต้องการผู้เรียนซึ่งมีวินัย มีพฤติกรรมที่รู้จักยืดหยุ่น หรือปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
4. เนื่องจากข้อมูลข่าวสารในโลกจะทวีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุกๆ 10 ปี โรงเรียนจึงต้องใช้วิธีสอนที่หลากหลาย โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ กัน
5. ให้ใช้กฎเหล็กของการศึกษาที่ว่า “ระบบที่เข้มงวดจะผลิตคนที่เข้มงวด” และ “ระบบที่ยืดหยุ่นก็จะผลิตคนที่รู้จักการยืดหยุ่น”
6. สังคม หรือชุมชนที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยข้อมูลข่าวสาร ทำให้การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆ สถานที่
7. การเรียนรู้แบบเจาะลึก (deep learning) มีความจำเป็นมากกว่าการเรียนรู้แบบผิวเผิน
8.การสอนที่จัดว่ามีประสิทธิภาพ ต้องการครูที่มีคุณสมบัติมากกว่าการเป็นผู้ทำหน้าที่สอน
9. การศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียน (schooling) กับ การศึกษา (education) อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
10. โลกอนาคตจะให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่บ้าน (Home – based education) มากขึ้น
การจัดการศึกษาในอนาคต
ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ สาระวิชาหลัก
ภาษาแม่ และภาษาโลก, ศิลปะ, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, การปกครองและหน้าที่พลเมือง, เศรษฐศาสตร์, ภูมิศาสตร์, ประวัติศาสตร์ สาระวิชาหลักนี้จะต้องมี
Literacy >> ภาษา
Numeracy >> คำนวณ
Reasonig abilities>> เหตุผล
สถานศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21
ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะในการเป็น ผู้สอนงาน (Coaching) และ เป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) หรือ“คุณอำนวย” (facilitator) ในการเรียนรู้แบบ PBL (Project-Based Learning) ของศิษย์ ครูต้อง เลิกเป็น “ผู้สอน” ผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ พี่เลี้ยง ของการเรียนของศิษย์ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL
การสอนงาน : Coaching
ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
การฝึกสอน (Coaching) เป็นการบวนการฝึกสอนโดยเน้นการทำงานร่วมกันโดยผู้ฝึกสอนที่ทำหน้าที่เป็นครูฝึกสอน (Teacher) จะต้องมีทักษะ(Skills) ในการสอนและให้เน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
เครื่องมือที่ใช้ในการ Coaching&Mentoring
- เน้นความสำคัญไปที่เป้าหมาย มากกว่าปัญหา
- จงฟังให้มากกว่าพูด
- จงใช้การถามคำถาม มากกว่าการสั่งให้ไปทำ
-การบอก - การให้ข้อมูลป้อนกลับ
-การสอน - การถามคำถามปลายเปิด
-การแนะนำ - การท้าทายให้ทำงาน
- การรับฟัง
กระบวนการการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น
ศักยภาพทักษะผู้เรียนยุคใหม่
ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
1)เรียนรู้การตั้งคำถาม สงสัย ใคร่รู้ (Learning to Question :Q)
ใช้เทคนิค 5 w 1 H
Who ใคร (ในเรื่องนั้นมีใครบ้าง)
What ทำอะไร (แต่ละคนทำอะไรบ้าง)
Where ที่ไหน (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นอยู่ที่ไหน)
When เมื่อไหร่ (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นทำเมื่อวัน เดือน ปี ใด)
Why ทำไม (เหตุใดจึงได้ทำสิ่งนั้น หรือเกิดเหตุการณ์นั้นๆ)
How อย่างไร (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นทำเป็นอย่างไรบ้าง)
2) เรียนรู้การแสวงหาสารสนเทศ สืบเสาะ ค้นคว้า(Learning to Search : S)
- องค์กรที่จัดให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้โดยตรง เช่น ห้องสมุด , พิพิธภัณฑ์
หอจดหมายเหตุ , และหอศิลป์
- แหล่งอื่นที่ไม่ได้บริการโดยตรง เช่น บุคคล สถานที่ เหตุการณ์
-แหล่งสืบค้น Online เช่น อินเตอร์เน็ต
3) เรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ สรุป (Learning to Construct : C )
3.1 แหล่งกำเนิดขององค์ความรู้
- ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลอื่น
- ความรู้เกิดจากประสบการณ์การทำงาน
- ความรู้ที่ได้จากการวิจัยทดลอง
- ความรู้จากการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ
- ความรู้ที่มีปรากฏอยู่ในแหล่งความรู้ภายนอกโรงเรียนและนักเรียนได้นำมาใช้
4) เรียนรู้เพื่อการสื่อสารสื่อสาร สัมพันธ์ (Learning to Communicate : C)
1. การนำเสนอข้อมูลโดยรายงานวิจัย /บทความ ( Text Presentation)
2. การนำเสนอโดยตาราง ( Tabular Presentation )
3.การนำเสนอด้วยกราฟหรือแผนภูมิ ( Graphical Presentation )
4. การนำเสนอด้วยวาจา
5. การนำเสนอคลังความรู้ KM ในเว็บไซต์
5). เรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม การให้บริการ (Serve : S)
ทำเป็นนิทรรศการ/โครงงาน ฯลฯ ทำเป็นแผ่นพับประชาสัมพันธ์ นำเสนอผ่านสื่อ Online /Socialmedia
ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th
การประยุกต์
การให้เหตุผล: Reasoning (แบบอุปนัย)
ขั้นที่ 1 ตั้งคำถาม/คาดคะเนคำตอบ/ตั้งสมมติฐาน
ขั้นที่ 2 สืบค้น/แสวงหาสารสนเทศ วางแผน/สำรวจ
ขั้นที่ 3 สังเกตตั้ง คำถาม เข้าถึงข้อมูล โดย อ่าน ฟัง ดู จดบันทึก (Literacy)
การให้เหตุผล: Reasoning แบบนิรนัย
ขั้นที่ 2 สืบค้น/แสวงหาสารสนเทศ
ขั้นที่ 3 สร้างองค์ความรู้
*วิเคราะห์ข้อมูล
*สื่อความหมายข้อมูล
*สรุปผล
ขั้นที่ 4 วางแผน/สำรวจสืบค้น/กลั่นกรองข้อมูลการใช้ตัวเลข (Numeracy) ในการวัด/วิเคราะห์
ขั้นที่ 5 นำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ บริการ/ตอบแทนสังคม
สรุป การจัดการเรียนรู้แนวใหม่สไตล์ศตวรรษที่ 21 มิได้ละทิ้งทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีอยู่เดิม แต่เพิ่มการเรียนรู้ที่สามารถศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ผ่านเทคโนโลยี เพื่อให้ทันยุคการเปลี่ยนแปลง เท่านั้น เพียงแต่ครูผู้สอนต้องเลือกจัดกระบวนการเรียนรู้ ใ้ห้ผู้เรียนเกิดทักษะที่เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 อย่างน้อยต้องมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเลือกตามความถนัด ตามความสนใจ สุดท้าย ผู้เรียนต้องนำความรู้ที่ได้รับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงอยู่ของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง ปลอดภัย ต่อไป
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558
สื่อ (Media)
สื่อ (Media)
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน (Instructional Media)
สื่อ (Media) หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่าง ๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเรียกว่าสื่อการเรียนการสอน (Instruction Media)
สื่อการเรียนการสอน (Instructional Media) หมายถึง ตัวกลางที่จะทาให้ผู้สอนบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งข่าวสาร ข้อมูลความรู้ทางด้านการศึกษาไปยังผู้เรียน โดยเน้นเนื้อหาอันเป็นความรู้ตามหลักสูตรหรือกิจกรรม เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที
ความสำคัญของสื่อการสอน
2.1 ช่วยให้นักเรียนเกิดความสนใจ
2.2 ช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์กว้างขวางขึ้น
2.3 ช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอน
2.4 ช่วยให้เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้ตรงกัน
2.5 ช่วยลดเวลาการสอน เพิ่มเนื้อหาวิชาขึ้น
2.6 ช่วยให้เกิดความพึงพอใจในการเรียน
2.7 ช่วยจัดการเรียนรู้สิ่งที่มีข้อจากัด เช่น
- ทาสิ่งที่มีขนาดใหญ่เกินไป ให้เล็กลงจนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เล็กเกินไป ให้มีขนาดใหญ่จนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่อยู่ไกลตัวมาศึกษาได้ (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม (ตัวอย่าง)
- ช่วยให้จาเนื้อหาบทเรียนได้ดี
ลักษณะของสื่อที่ดี
3.1 เหมาะกับวัตถุประสงค์
3.2 เหมาะกับวัยของผู้เรียน
3.3 เหมาะกับกิจกรรมการเรียนการสอน
3.4 ใช้ง่าย ปลอดภัย และสะดวก ลักษณะของสื่อควรมี ขนาดพอเหมาะ
3.5 ไม่สิ้นเปลืองและคุ้มค่า
คุณภาพของสื่อการสอนที่ดี
4.1 รูปร่างกะทัดรัด สวยงาม น่าสนใจ ประณีต
4.2 ทางานได้ตามที่ต้องการ ตรงวัตถุประสงค์
4.3 สะดวกเวลาใช้ไม่ยุ่งยาก หรือเป็นอันตราย
4.4 ราคาของวัตถุไม่แพงมาก
4.5 มีความคงทนแน่นหนา
4.6 เมื่อชารุดสามารถซ่อมแซมได้ง่าย
4.7 สะดวกเวลาเก็บรักษา
การเลือกสื่อการสอน
การเลือกสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์
ในการพิจารณาเลือกใช้หรือสร้างสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขั้นต้นจะต้องพิจารณาเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของวัตถุประสงค์นั้น ๆ ว่ามีจุดสำคัญอะไรควรสื่อความหมายลักษณะใด จากนั้นจึงเลือกลักษณะของสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลักของวัตถุประสงค์นั้น โดยพิจารณาเลือกเรียงลำดับจากสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม(Concrete) ดังนี้
7. ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ประกอบในการเรียนการสอนเท่าที่พบเห็นและจากประสบการณ์ พอสรุปเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้คือ
7.1 กระดานดำ (Chalk Boards)
7.2 หนังสือ/ใบเนื้อหาและใบงาน (Book or text/Information and Worksheets)
7.3 แผ่นภาพ (Wall Charts)
7.4 แผ่นใส (Overhead Transparencies)/สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Slide)
7.5 โมเดลพลาสติก (Overhead Plastic Models)
7.6 ภาพสไลด์และแผ่นภาพยนต์ (Slide Series and Filmstrips)
7.7 แถบบันทึกเสียง (Audiotape Recordings)
7.8 แถบวิดีทัศน์/แผ่นวิดีทัศน์ (Videotape Recordings and Videodiscs)
7.9 หุ่นจำลอง (Models)
7.10 อุปกรณ์ทดลอง/สาธิต (Experimental/Demonstration Sets)
7.11 ของจริง (Real Objects)
7.12 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เป็นต้น
การใช้สื่อการสอน
1.ขั้นวางแผนเตรียมการใช้สื่อ
2.เตรียมสื่อการสอน
3.ขั้นนาสื่อไปใช้
4.ขั้นวัดและประเมินผลการใช้สื่อ
การผลิตสื่อ
1.ตั้งจุดมุ่งหมายการผลิตเฉพาะสื่อ
2.เตรียมเนื้อหา ข้อมูล เกี่ยวกับสื่อที่ผลิต
3.วางโครงการ
4.ดาเนินการผลิต
5.ทดลองใช้สื่อ
6.ปรับปรุงสื่อ
7.กาหนดสื่อไปใช้
ที่มา
http://sps.lpru.ac.th/script/show_article.pl?mag_id=5&group_id=23&article_id=194
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน (Instructional Media)
สื่อ (Media) หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่าง ๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเรียกว่าสื่อการเรียนการสอน (Instruction Media)
สื่อการเรียนการสอน (Instructional Media) หมายถึง ตัวกลางที่จะทาให้ผู้สอนบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งข่าวสาร ข้อมูลความรู้ทางด้านการศึกษาไปยังผู้เรียน โดยเน้นเนื้อหาอันเป็นความรู้ตามหลักสูตรหรือกิจกรรม เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที
ความสำคัญของสื่อการสอน
2.1 ช่วยให้นักเรียนเกิดความสนใจ
2.2 ช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์กว้างขวางขึ้น
2.3 ช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอน
2.4 ช่วยให้เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้ตรงกัน
2.5 ช่วยลดเวลาการสอน เพิ่มเนื้อหาวิชาขึ้น
2.6 ช่วยให้เกิดความพึงพอใจในการเรียน
2.7 ช่วยจัดการเรียนรู้สิ่งที่มีข้อจากัด เช่น
- ทาสิ่งที่มีขนาดใหญ่เกินไป ให้เล็กลงจนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เล็กเกินไป ให้มีขนาดใหญ่จนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่อยู่ไกลตัวมาศึกษาได้ (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม (ตัวอย่าง)
- ช่วยให้จาเนื้อหาบทเรียนได้ดี
ลักษณะของสื่อที่ดี
3.1 เหมาะกับวัตถุประสงค์
3.2 เหมาะกับวัยของผู้เรียน
3.3 เหมาะกับกิจกรรมการเรียนการสอน
3.4 ใช้ง่าย ปลอดภัย และสะดวก ลักษณะของสื่อควรมี ขนาดพอเหมาะ
3.5 ไม่สิ้นเปลืองและคุ้มค่า
คุณภาพของสื่อการสอนที่ดี
4.1 รูปร่างกะทัดรัด สวยงาม น่าสนใจ ประณีต
4.2 ทางานได้ตามที่ต้องการ ตรงวัตถุประสงค์
4.3 สะดวกเวลาใช้ไม่ยุ่งยาก หรือเป็นอันตราย
4.4 ราคาของวัตถุไม่แพงมาก
4.5 มีความคงทนแน่นหนา
4.6 เมื่อชารุดสามารถซ่อมแซมได้ง่าย
4.7 สะดวกเวลาเก็บรักษา
การเลือกสื่อการสอน
การเลือกสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์
ในการพิจารณาเลือกใช้หรือสร้างสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขั้นต้นจะต้องพิจารณาเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของวัตถุประสงค์นั้น ๆ ว่ามีจุดสำคัญอะไรควรสื่อความหมายลักษณะใด จากนั้นจึงเลือกลักษณะของสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลักของวัตถุประสงค์นั้น โดยพิจารณาเลือกเรียงลำดับจากสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม(Concrete) ดังนี้
7. ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ประกอบในการเรียนการสอนเท่าที่พบเห็นและจากประสบการณ์ พอสรุปเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้คือ
7.1 กระดานดำ (Chalk Boards)
7.2 หนังสือ/ใบเนื้อหาและใบงาน (Book or text/Information and Worksheets)
7.3 แผ่นภาพ (Wall Charts)
7.4 แผ่นใส (Overhead Transparencies)/สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Slide)
7.5 โมเดลพลาสติก (Overhead Plastic Models)
7.6 ภาพสไลด์และแผ่นภาพยนต์ (Slide Series and Filmstrips)
7.7 แถบบันทึกเสียง (Audiotape Recordings)
7.8 แถบวิดีทัศน์/แผ่นวิดีทัศน์ (Videotape Recordings and Videodiscs)
7.9 หุ่นจำลอง (Models)
7.10 อุปกรณ์ทดลอง/สาธิต (Experimental/Demonstration Sets)
7.11 ของจริง (Real Objects)
7.12 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เป็นต้น
การใช้สื่อการสอน
1.ขั้นวางแผนเตรียมการใช้สื่อ
2.เตรียมสื่อการสอน
3.ขั้นนาสื่อไปใช้
4.ขั้นวัดและประเมินผลการใช้สื่อ
การผลิตสื่อ
1.ตั้งจุดมุ่งหมายการผลิตเฉพาะสื่อ
2.เตรียมเนื้อหา ข้อมูล เกี่ยวกับสื่อที่ผลิต
3.วางโครงการ
4.ดาเนินการผลิต
5.ทดลองใช้สื่อ
6.ปรับปรุงสื่อ
7.กาหนดสื่อไปใช้
ที่มา
http://sps.lpru.ac.th/script/show_article.pl?mag_id=5&group_id=23&article_id=194
แหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้
ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm
ความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้
1. เป็นแหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย
2. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3. เป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้าและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
4. เป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
5. เป็นแหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์
ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm
วัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งการเรียนรู้ใน
1. พัฒนาโรงเรียนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีแหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้วิทยาการ และสร้างเสริม ประสบการณ์ที่กว้างขวางหลากหลาย
2. เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในโรงเรียน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
3. จัดระบบและพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศ และแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง
ต่อเนื่อง
ประเภทของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
อาจแบ่งแหล่งการเรียนรู้ที่อยู่รอบตัวผู้เรียน
1. เทคโนโลยี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อีเมล์ (e-mail) อินเทอร์เน็ต
2. สิ่งแวดล้อม ได้แก่ แหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง วนอุทยาน
ภูเขา เช่น ถ้ำ หินงอก หินย้อย สวนพฤกษศาสตร์ เช่น สวนสมุนไพร สวนป่าธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน สวนสาธารณะ เขื่อน
3. สถานที่ ได้แก่ สถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น วัด โบสถ์ มัสยิด สุเหร่า ปูชณียสถาน โบราณสถาน โรงเรียน โรงพยาบาล ไปรษณีย์ สถานีตำรวจ พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดในชุมชน
4. สื่อสารมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ETV วิทยุ สารสนเทศ
5. บุคลากร ได้แก่ เพื่อน เช่น เพื่อนในห้องเรียน เพื่อนในชุมชน ครู เช่น ครูใหญ่ ผู้อำนวยการ ครูวิชาต่าง ๆ ผู้นำชุมชน เช่น ผู้นำศาสนา แพทย์ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตำรวจ
ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ดนตรี ก่อสร้าง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ
ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm
ความหมายของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข่าวสารข้อมูล สารสนเทศ แหล่งความรู้ทางวิทยาการและประสบการณ์ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียน ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm
ความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้
1. เป็นแหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย
2. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
3. เป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน การศึกษาค้นคว้าและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
4. เป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
5. เป็นแหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการและประสบการณ์
ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm
วัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งการเรียนรู้ใน
1. พัฒนาโรงเรียนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีแหล่งข้อมูล ข่าวสาร ความรู้วิทยาการ และสร้างเสริม ประสบการณ์ที่กว้างขวางหลากหลาย
2. เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในโรงเรียน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
3. จัดระบบและพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศ และแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง
ต่อเนื่อง
ประเภทของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
อาจแบ่งแหล่งการเรียนรู้ที่อยู่รอบตัวผู้เรียน
1. เทคโนโลยี ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อีเมล์ (e-mail) อินเทอร์เน็ต
2. สิ่งแวดล้อม ได้แก่ แหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง วนอุทยาน
ภูเขา เช่น ถ้ำ หินงอก หินย้อย สวนพฤกษศาสตร์ เช่น สวนสมุนไพร สวนป่าธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน สวนสาธารณะ เขื่อน
3. สถานที่ ได้แก่ สถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น วัด โบสถ์ มัสยิด สุเหร่า ปูชณียสถาน โบราณสถาน โรงเรียน โรงพยาบาล ไปรษณีย์ สถานีตำรวจ พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดในชุมชน
4. สื่อสารมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ETV วิทยุ สารสนเทศ
5. บุคลากร ได้แก่ เพื่อน เช่น เพื่อนในห้องเรียน เพื่อนในชุมชน ครู เช่น ครูใหญ่ ผู้อำนวยการ ครูวิชาต่าง ๆ ผู้นำชุมชน เช่น ผู้นำศาสนา แพทย์ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตำรวจ
ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น ดนตรี ก่อสร้าง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ
ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)