วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การประยุกต์การสอน

การประยุกต์การสอนกับขั้นตอนการสอนด้วยขั้นบันได

การจัดการเรียนรู้ในอนาคต

ที่มา : http://www.birdkm.com/outside-classroom/outsideclass/newlearningc21


นการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นการศึกษาเพื่อพัฒนาด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านการความรู้สึกนึกคิด โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี  การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติและกระทำด้วยตนเอง
1.ทักษะพื้นฐาน ได้แก่ สื่อสารสองภาษา การดำเนินงาน การแก้ปัญหา การใช้ ICT และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
2.ทักษะการเรียนรู้และพัฒนาตน ได้แก่ เห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตนเอง ตระหนักรู้ในตนและรู้จักตนเอง มีทัศนะเชิงบวกต่อการเรียนรู้ จัดการหรือควบคุมตนเองได้ และคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
3.ทักษะพลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคมโลก ได้แก่ มีส่วนร่วมกับกิจกรรมชุมชนหรือสังคม เคารพความหลากหลาย มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการสร้างให้เกิดความเท่าเทียม ความยุติธรรมในสังคม
4.ทักษะการทำงาน ได้แก่ วางแผนงานหรือกิจกรรมได้ มีทักษะการจัดการตนเองและผู้อื่น ตรงเวลา มีวินัย ทำงานด้วยตนเองได้ จัดลำดับความสำคัญของงานและทำงานได้ตามเวลา สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ตั้งใจเตรียมการล่วงหน้าและยืดหยุ่น และมีจริยธรรมในการทำงาน

การพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเพื่อปรับตนเองในปัจจุบัน
ให้พร้อมรับกับสิ่งที่จะตามมาในอนาคต
1.  มนุษย์มีรูปแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ผู้สอนจึงต้องใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย
2. ผู้เรียนควรเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ของตนเอง ไม่ใช่นำความรู้ไปใส่สมองผู้เรียน แล้วให้ผู้เรียนดำเนินรอยตามผู้สอน
3. โลกยุคใหม่ต้องการผู้เรียนซึ่งมีวินัย มีพฤติกรรมที่รู้จักยืดหยุ่น หรือปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม
4. เนื่องจากข้อมูลข่าวสารในโลกจะทวีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุกๆ 10 ปี โรงเรียนจึงต้องใช้วิธีสอนที่หลากหลาย โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ กัน
5. ให้ใช้กฎเหล็กของการศึกษาที่ว่า “ระบบที่เข้มงวดจะผลิตคนที่เข้มงวด” และ “ระบบที่ยืดหยุ่นก็จะผลิตคนที่รู้จักการยืดหยุ่น”
6. สังคม หรือชุมชนที่มั่งคั่ง ร่ำรวยด้วยข้อมูลข่าวสาร ทำให้การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆ สถานที่
7. การเรียนรู้แบบเจาะลึก (deep learning) มีความจำเป็นมากกว่าการเรียนรู้แบบผิวเผิน
8.การสอนที่จัดว่ามีประสิทธิภาพ ต้องการครูที่มีคุณสมบัติมากกว่าการเป็นผู้ทำหน้าที่สอน
9. การศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียน (schooling) กับ การศึกษา (education) อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
10. โลกอนาคตจะให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่บ้าน (Home – based education) มากขึ้น

การจัดการศึกษาในอนาคต

ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th


ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ สาระวิชาหลัก
 ภาษาแม่ และภาษาโลก,  ศิลปะ,  วิทยาศาสตร์,  คณิตศาสตร์,  การปกครองและหน้าที่พลเมือง,  เศรษฐศาสตร์,  ภูมิศาสตร์,  ประวัติศาสตร์   สาระวิชาหลักนี้จะต้องมี
Literacy >> ภาษา
Numeracy >> คำนวณ
Reasonig abilities>> เหตุผล


สถานศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21

ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะในการเป็น  ผู้สอนงาน (Coaching) และ  เป็นพี่เลี้ยง (Mentoring)  หรือ“คุณอำนวย” (facilitator) ในการเรียนรู้แบบ  PBL (Project-Based Learning) ของศิษย์ ครูต้อง เลิกเป็น “ผู้สอน” ผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ พี่เลี้ยง ของการเรียนของศิษย์ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL

การสอนงาน : Coaching

ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th


การฝึกสอน (Coaching) เป็นการบวนการฝึกสอนโดยเน้นการทำงานร่วมกันโดยผู้ฝึกสอนที่ทำหน้าที่เป็นครูฝึกสอน (Teacher) จะต้องมีทักษะ(Skills) ในการสอนและให้เน้นไปที่การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
เครื่องมือที่ใช้ในการ Coaching&Mentoring
-  เน้นความสำคัญไปที่เป้าหมาย มากกว่าปัญหา
-  จงฟังให้มากกว่าพูด
 -  จงใช้การถามคำถาม มากกว่าการสั่งให้ไปทำ
-การบอก                                     - การให้ข้อมูลป้อนกลับ
-การสอน                                     - การถามคำถามปลายเปิด
-การแนะนำ                                  - การท้าทายให้ทำงาน
- การรับฟัง

กระบวนการการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น
ศักยภาพทักษะผู้เรียนยุคใหม่

ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

 1)เรียนรู้การตั้งคำถาม สงสัย ใคร่รู้ (Learning to Question :Q)
 ใช้เทคนิค 5 w 1 H
Who ใคร (ในเรื่องนั้นมีใครบ้าง)
What ทำอะไร (แต่ละคนทำอะไรบ้าง)
Where ที่ไหน (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นอยู่ที่ไหน)
When เมื่อไหร่ (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นทำเมื่อวัน เดือน ปี ใด)
Why ทำไม (เหตุใดจึงได้ทำสิ่งนั้น หรือเกิดเหตุการณ์นั้นๆ)
How อย่างไร (เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นทำเป็นอย่างไรบ้าง)
2) เรียนรู้การแสวงหาสารสนเทศ สืบเสาะ ค้นคว้า(Learning to Search : S)
- องค์กรที่จัดให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้โดยตรง เช่น ห้องสมุด , พิพิธภัณฑ์
หอจดหมายเหตุ , และหอศิลป์
- แหล่งอื่นที่ไม่ได้บริการโดยตรง เช่น บุคคล สถานที่ เหตุการณ์
-แหล่งสืบค้น Online เช่น อินเตอร์เน็ต
3) เรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้  สรุป (Learning to Construct : C )
3.1 แหล่งกำเนิดขององค์ความรู้
- ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบุคคลอื่น
- ความรู้เกิดจากประสบการณ์การทำงาน
- ความรู้ที่ได้จากการวิจัยทดลอง
- ความรู้จากการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ
- ความรู้ที่มีปรากฏอยู่ในแหล่งความรู้ภายนอกโรงเรียนและนักเรียนได้นำมาใช้
4) เรียนรู้เพื่อการสื่อสารสื่อสาร สัมพันธ์ (Learning to Communicate : C)
1. การนำเสนอข้อมูลโดยรายงานวิจัย /บทความ ( Text Presentation)
2. การนำเสนอโดยตาราง ( Tabular Presentation )
3.การนำเสนอด้วยกราฟหรือแผนภูมิ ( Graphical Presentation )
4. การนำเสนอด้วยวาจา
5. การนำเสนอคลังความรู้ KM ในเว็บไซต์
5). เรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม  การให้บริการ (Serve : S)
ทำเป็นนิทรรศการ/โครงงาน ฯลฯ  ทำเป็นแผ่นพับประชาสัมพันธ์  นำเสนอผ่านสื่อ Online /Socialmedia

ที่มา : http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:GllNI9m-cx0J:61.7.236.60/photo56/25560817b.pptx+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

การประยุกต์
การให้เหตุผล: Reasoning (แบบอุปนัย)
ขั้นที่ 1 ตั้งคำถาม/คาดคะเนคำตอบ/ตั้งสมมติฐาน
ขั้นที่ 2 สืบค้น/แสวงหาสารสนเทศ วางแผน/สำรวจ
ขั้นที่  3 สังเกตตั้ง  คำถาม   เข้าถึงข้อมูล โดย อ่าน ฟัง ดู จดบันทึก (Literacy)
การให้เหตุผล: Reasoning แบบนิรนัย
ขั้นที่ 2 สืบค้น/แสวงหาสารสนเทศ
ขั้นที่ 3 สร้างองค์ความรู้  
*วิเคราะห์ข้อมูล  
*สื่อความหมายข้อมูล  
*สรุปผล
ขั้นที่ 4 วางแผน/สำรวจสืบค้น/กลั่นกรองข้อมูลการใช้ตัวเลข (Numeracy) ในการวัด/วิเคราะห์
ขั้นที่ 5 นำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ บริการ/ตอบแทนสังคม

สรุป การจัดการเรียนรู้แนวใหม่สไตล์ศตวรรษที่ 21 มิได้ละทิ้งทฤษฎีการเรียนรู้ที่มีอยู่เดิม แต่เพิ่มการเรียนรู้ที่สามารถศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ผ่านเทคโนโลยี เพื่อให้ทันยุคการเปลี่ยนแปลง เท่านั้น เพียงแต่ครูผู้สอนต้องเลือกจัดกระบวนการเรียนรู้ ใ้ห้ผู้เรียนเกิดทักษะที่เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมกับศตวรรษที่ 21 อย่างน้อยต้องมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเลือกตามความถนัด ตามความสนใจ สุดท้าย ผู้เรียนต้องนำความรู้ที่ได้รับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงอยู่ของชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง ปลอดภัย ต่อไป

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สื่อ (Media)

สื่อ (Media)

ความหมายของสื่อการเรียนการสอน (Instructional Media)

สื่อ (Media) หมายถึง ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่าง ๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเรียกว่าสื่อการเรียนการสอน (Instruction Media)

สื่อการเรียนการสอน (Instructional Media) หมายถึง ตัวกลางที่จะทาให้ผู้สอนบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งข่าวสาร ข้อมูลความรู้ทางด้านการศึกษาไปยังผู้เรียน โดยเน้นเนื้อหาอันเป็นความรู้ตามหลักสูตรหรือกิจกรรม เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที

ความสำคัญของสื่อการสอน
2.1 ช่วยให้นักเรียนเกิดความสนใจ
2.2 ช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์กว้างขวางขึ้น  
2.3 ช่วยแก้ปัญหาในการเรียนการสอน  
2.4 ช่วยให้เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้ตรงกัน  
2.5 ช่วยลดเวลาการสอน เพิ่มเนื้อหาวิชาขึ้น  
2.6 ช่วยให้เกิดความพึงพอใจในการเรียน
2.7 ช่วยจัดการเรียนรู้สิ่งที่มีข้อจากัด เช่น
- ทาสิ่งที่มีขนาดใหญ่เกินไป ให้เล็กลงจนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เล็กเกินไป ให้มีขนาดใหญ่จนศึกษาได้
- ทาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่อยู่ไกลตัวมาศึกษาได้ (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น (ตัวอย่าง)
- ทาสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม (ตัวอย่าง)
- ช่วยให้จาเนื้อหาบทเรียนได้ดี

ลักษณะของสื่อที่ดี
    3.1 เหมาะกับวัตถุประสงค์
    3.2 เหมาะกับวัยของผู้เรียน
    3.3 เหมาะกับกิจกรรมการเรียนการสอน
    3.4 ใช้ง่าย ปลอดภัย และสะดวก ลักษณะของสื่อควรมี ขนาดพอเหมาะ
    3.5 ไม่สิ้นเปลืองและคุ้มค่า

คุณภาพของสื่อการสอนที่ดี
    4.1 รูปร่างกะทัดรัด สวยงาม น่าสนใจ ประณีต
    4.2 ทางานได้ตามที่ต้องการ ตรงวัตถุประสงค์
    4.3 สะดวกเวลาใช้ไม่ยุ่งยาก หรือเป็นอันตราย
    4.4 ราคาของวัตถุไม่แพงมาก
    4.5 มีความคงทนแน่นหนา
    4.6 เมื่อชารุดสามารถซ่อมแซมได้ง่าย
    4.7 สะดวกเวลาเก็บรักษา

การเลือกสื่อการสอน
การเลือกสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์
ในการพิจารณาเลือกใช้หรือสร้างสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขั้นต้นจะต้องพิจารณาเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของวัตถุประสงค์นั้น ๆ ว่ามีจุดสำคัญอะไรควรสื่อความหมายลักษณะใด จากนั้นจึงเลือกลักษณะของสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลักของวัตถุประสงค์นั้น โดยพิจารณาเลือกเรียงลำดับจากสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม(Concrete) ดังนี้



7. ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ประกอบในการเรียนการสอนเท่าที่พบเห็นและจากประสบการณ์ พอสรุปเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้คือ
7.1 กระดานดำ (Chalk Boards)
7.2 หนังสือ/ใบเนื้อหาและใบงาน (Book or text/Information and Worksheets)
7.3 แผ่นภาพ (Wall Charts)
7.4 แผ่นใส (Overhead Transparencies)/สไลด์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Slide)
7.5 โมเดลพลาสติก (Overhead Plastic Models)
7.6 ภาพสไลด์และแผ่นภาพยนต์ (Slide Series and Filmstrips)
7.7 แถบบันทึกเสียง (Audiotape Recordings)
7.8 แถบวิดีทัศน์/แผ่นวิดีทัศน์ (Videotape Recordings and Videodiscs)
7.9 หุ่นจำลอง (Models)
7.10 อุปกรณ์ทดลอง/สาธิต (Experimental/Demonstration Sets)
7.11 ของจริง (Real Objects)
7.12 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เป็นต้น
การใช้สื่อการสอน
    1.ขั้นวางแผนเตรียมการใช้สื่อ
    2.เตรียมสื่อการสอน
    3.ขั้นนาสื่อไปใช้
    4.ขั้นวัดและประเมินผลการใช้สื่อ

การผลิตสื่อ
    1.ตั้งจุดมุ่งหมายการผลิตเฉพาะสื่อ
    2.เตรียมเนื้อหา ข้อมูล เกี่ยวกับสื่อที่ผลิต
    3.วางโครงการ
    4.ดาเนินการผลิต
    5.ทดลองใช้สื่อ
    6.ปรับปรุงสื่อ
    7.กาหนดสื่อไปใช้

ที่มา

http://sps.lpru.ac.th/script/show_article.pl?mag_id=5&group_id=23&article_id=194

 แหล่งการเรียนรู้

 แหล่งการเรียนรู้

ความหมายของแหล่งการเรียนรู้

        แหล่งการเรียนรู้  หมายถึง  แหล่งข่าวสารข้อมูล  สารสนเทศ  แหล่งความรู้ทางวิทยาการและประสบการณ์ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียน ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องจากแหล่งต่าง ๆ  เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้  และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้

     
ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm

ความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้     
        1.  เป็นแหล่งการศึกษาตามอัธยาศัย
        2.  เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
        3.  เป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน  การศึกษาค้นคว้าและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
        4.  เป็นแหล่งสร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏิบัติ
        5.  เป็นแหล่งสร้างเสริมความรู้  ความคิด  วิทยาการและประสบการณ์


                    ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm


วัตถุประสงค์ของการจัดแหล่งการเรียนรู้ใน

        1.  พัฒนาโรงเรียนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้  มีแหล่งข้อมูล  ข่าวสาร  ความรู้วิทยาการ  และสร้างเสริม ประสบการณ์ที่กว้างขวางหลากหลาย
        2.  เสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ในโรงเรียน  โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
        3.  จัดระบบและพัฒนาเครือข่ายสารสนเทศ  และแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
        4.  ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้  เป็นผู้ใฝ่เรียน  ใฝ่รู้  และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่าง
ต่อเนื่อง

ประเภทของแหล่งการเรียนรู้ 
        แหล่งการเรียนรู้แบ่งเป็น  2  ประเภท  ดังนี้

อาจแบ่งแหล่งการเรียนรู้ที่อยู่รอบตัวผู้เรียน
1. เทคโนโลยี  ได้แก่  คอมพิวเตอร์   อีเมล์ (e-mail)  อินเทอร์เน็ต

2. สิ่งแวดล้อม  ได้แก่   แหล่งน้ำ  เช่น  แม่น้ำ  ลำคลอง ห้วย  หนอง  บึง  วนอุทยาน
ภูเขา เช่น  ถ้ำ  หินงอก  หินย้อย สวนพฤกษศาสตร์  เช่น  สวนสมุนไพร  สวนป่าธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ในโรงเรียน  สวนสาธารณะ เขื่อน

3.  สถานที่  ได้แก่ สถานที่สำคัญทางศาสนา   เช่น  วัด  โบสถ์  มัสยิด  สุเหร่า   ปูชณียสถาน โบราณสถาน  โรงเรียน  โรงพยาบาล ไปรษณีย์  สถานีตำรวจ  พิพิธภัณฑ์  ห้องสมุด  เช่น  ห้องสมุดโรงเรียน  ห้องสมุดในชุมชน

4.  สื่อสารมวลชน  ได้แก่  หนังสือพิมพ์  โทรทัศน์  ETV  วิทยุ  สารสนเทศ

5.  บุคลากร  ได้แก่  เพื่อน  เช่น เพื่อนในห้องเรียน  เพื่อนในชุมชน  ครู  เช่น ครูใหญ่  ผู้อำนวยการ  ครูวิชาต่าง ๆ  ผู้นำชุมชน  เช่น ผู้นำศาสนา  แพทย์  องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)  ตำรวจ
ภูมิปัญญาชาวบ้าน  เช่น  ดนตรี  ก่อสร้าง  ยารักษาโรค  การนวดแผนโบราณ

ที่มา : http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit1_part1.htm

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

Concept Idea

-ใช้ผลการเรียนรู้เป็็นตัวกำหนดกระบวนการที่เหมาะสมในการพัฒนานักเรียน
-กระบวนการ '' Process ( How to ?) ถือเป็นกุญแจสำคัญแห่งความสำเร็จ
-การผลิตนักรียนที่มีคุณภาพ ขึ้นอยู่กับการกำหนด LO

เข้าใจ  เข้าถึง  พัฒนา  สามารถนำมาปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนของครูได้ดังนี้ เข้าใจปัจจัยสู่ความสำเร็จสู่กระบวนการเรียนรู้
  • Interest  ความสนใจของนักเรียน
  • Intention  ความตั้งใจของนักเรียนและคุณครู
  • Teaching  วิธีการสอนของคุณครู
  • Aptitude  ความสามารถของนักเรียน
  • Experience  ประสบการณ์์์์์์สอนของครู
  • Responsibility  ความรับผิดชอบของครู
  • Difficulty  ความยากง่ายของวิชา
  เข้าถึงผู้เรียน

  • ผู้สอนต้องเข้าถึงผู้เรียน
  • ผู้สอนต้องมีวิทยาการสอน
  • ผู้สอนต้องเข้าใจเด็กสมัยใหม่
เข้าถึงธรรมชาติของผู้เรียน
  • ต้องการทางกาย
  • ต้องการความมั่นคงปลอดภัย
  • ต้องการความรักและเป็นที่ยอมรับ
  • ต้องการได้รับการยกย่อง
  • ต้องการเข้าใจและรักตนเอง
พัฒนา  คุณครูที่มีประสิทธิภาพ ควรมีลักษณะบางอย่างหรือหลายประการดังนี้
  • สอนเป็น นำเสนอเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
  • ใช้และใฝ่หาเทคนิคเพื่อกระตุ้นผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ
  • มีความคิดสร้างสรรค์
  • ประเมินตนเอง มีความลึกซึ้งมากเเค่ไหนในวิชาที่สอน
การสอนให้เป็นของคุณครู
  • การสอนให้เป็นคือการสอนที่ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้
  • การสอนให้เป็นต้องเข้าใจหลักเรียนรู้พื้นฐาน
  • ผู้สอนควรทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ในการเรียน

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

สัปดาห์ที่ 4 ระบบการสอน



 ASSURE Model
เป็นรูปแบบของการวางแผนหรือออกแบบการสอนโดยเน้นการใช้สื่อ และเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบ และเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญ มีแผนการดังนี้
      A = ANALYZE LEARNER'S CHARACTERISTICS   การวิเคราะห์ผู้เรียนที่สำคัญได้แก่                 การวิเคราะห์พฤติกรรมเบื้องต้นและความต้องการของผู้เรียน ทั้งในด้าน
      1. ข้อมูลทั่วไป เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษาเจตคติระบบสังคมวัฒนธรรม 
      2. ข้อมูลเฉพาะ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนการสอน เช่น ประสบการณ์เดิม ทักษะ เจตคติ ความรู้พื้นฐาน และความสามารถในบทเรียนนั้นเพียงใด  การวิเคราะห์จะช่วยให้ผู้สอนสามารถตัดสินใจเลือกสื่อและจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม 

      S = STATE LEARNING OBJECTIVES AND CONTENTการกำหนดจุดมุ่งหมาย  จุดมุ่งหมาย
      การเรียนที่ดีควรเป็นข้อความที่แสดงลักษณะ สำคัญ 3 ประการคือ
      1. วิธีการปฏิบัติ PERFORMANCE (ทำอะไร) การเขียนจุดมุ่งหมายควรใช้คำกริยาหรือข้อความที่
      สังเกตพฤติกรรมได้ เช่น ให้คำจำกัดความ อธิบาย บอก หรือจำแนก เป็นต้น
      2. เงื่อนไข CONDITIONS (ทำอย่างไร) การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนควรกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็น
      ภายใต้การปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ การกำหนดเงื่อนไข เช่น บวกเลขในใจโดยไม่ใช้กระดาษวาด หรือผสมแป้งโดยใช้ช้อน เป็นต้น
      3. เกณฑ์ CRITERIA (ทำได้ดีเพียงไร) มาตรฐานการปฏิบัติซึ่งควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เช่นระดับของความสามารถในการปฏิบัติ ระดับของความรู้ที่จำเป็น เพื่อการศึกษาต่อในหน่วยการ
เรียนที่สูงขึ้นไป

      S = SELECT, MODIFY OR DESIGN MOTHODS AND MATERIALS
      การกำหนดสื่อการเรียนการสอนอาจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ประการดังนี้ คือ
      1) การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอน 
      2) ดัดแปลงจากสื่อวัสดุที่มีอยู่แล้ว
      3) การออกแบบสื่อใหม่

      U = UTILIZE METHODS AND MATERIALS กิจกรรมการใช้สื่อการเรียนการสอน พิจารณาได้
      3 ลักษณะคือ
 1) การใช้สื่อประกอบการสอนของผู้สอน เช่น ประกอบคำบรรยาย และอธิบาย
 2)การใช้สื่อเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนของผู้เรียน เช่น ชุดการสอน บทเรียนด้วยตนเอง
 3) การใช้สื่อร่วมกัน ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน เช่น เกม สถานการณ์จำลอง และการสาธิต การมีส่วนร่วมของผู้เรียน การใช้สื่อการเรียนการสอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี ส่วนร่วมหรือได้ลงมือกระทำร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนได้มากที่สุด

      R = REQUIRE LEARNER'S RESPONSE การกำหนดพฤติกรรมตอบสนองของผู้เรียน การเรียน
  รู้จะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดนั้น ผู้เรียนจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองและมีการเสริมแรงสำหรับ
  การพฤติกรรมการตอบสนองที่ถูกต้องอยู่เสมอเช่น การให้สังเกตไปจนถึงการให้ทำโครงการหรือออก
  แบบสิ่งของต่าง ๆ การที่ผู้สอนให้ข้อมูลย้อนกลับทันทีต่อการตอบสนองของผู้เรียนจะทำให้แรงจูงใจ
  ในการเรียนและการเสริมแรงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

      E = EVALUATION การประเมินผล ควรพิจารณาทั้ง 3 ด้านคือ
      1) การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
      2) การประเมินสื่อและวิธีใช้
      3) การประเมินกระบวนการเรียนการสอน

สรุป
จากรูปแบบจำลอง The ASSURE model จะเน้นถึงการวางแผนการใช้สื่ออย่างเป็นระบบในสภาพของห้องเรียนจริง เพื่อให้ผู้สอนสามารถนำรูปแบบจำลองนี้ มาใช้วางแผนการสอนได้อย่างมีประสิทธิผล    ถ้าหากผู้สอนสามารถดำเนินการได้ตามกระบวนการได้ถูกต้องทุกขั้นตอนจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

  แนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบ ASSURE Model หากพิจารณาแล้ว จะเห็นว่าเป็นรูปแบบจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับการเรียนการสอนเน้นการเรียนรู้ของรายบุคล เนื่องจากเน้นการจัดเตรียมสื่อหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองผู้เรียนที่ผู้สอนได้วิเคราะห์แล้วว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร อีกทั้งเน้นการมีส่วนร่วมและการมีปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งนี้โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอน และการวัดผลการเรียนการสอน เน้นการวัดผลทั้งกระบวนการเรียนการสอนว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือไม่ ไม่ได้เน้นมุ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนอย่างเดียว



ระบบการสอนของ Dick and Carey Model
ระบบการสอนของดิคค์ แอนด์และคาเรย์(Dick and Carey Mode)
      คิด แอนด์ แคเรย์ (Dick and Carey) ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง โดยอาศัยวิธีการระบบเช่นเดียวกันกับรูปแบบ ADDIE ซึ่งเป็นรูปแบบที่ง่าย แต่ก็ได้รับการยอมรับว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ได้ดี  รูปแบบการสอนของคิดแอนด์ แคเรย์ เริ่มเผ่ยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี คศ.1990 หลังจากนั้น เมือ่ปี คศ.1996 ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ โดยรายละเอียดมากชึ้น

      รูปแบบการสอนของดิคค์ แอนด์ แคเรย์ (1990) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้

1.การประเมินและการวิเคราะห์ (Assesment&Analysis) ประกอบด้วย 2 ส่วนดังนี้

           1.1   การประเมินความต้องการ (Need Assessment)
           1.2   การวิเคราะห์ส่วนหน้า (Front-endAnalysis)
2.การออกแบบ (Design)
3.การพัฒนา (Dvelopment)
4.การทดลองใช้ (lmplementation)
5.การประเมินผล (Evaluation)
   รูปแบบการสอนของคิดค์ แอนด์ แคเรย์(1990) พัฒนามาจากวิธีการระบบ โดยมีส่วนคล้ายกับรูปแบบการสอน ADDIE แตกต่างกันเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ซึ่งก็คือ การประเมินและการวิเคราะห์ ซึ่งประกอบด้วย 2 ขั้นตอนย่อยๆได้แก่ การประเมินความต้องการและการวิเคราะห์ส่วนหน้า สำหรับการประเมินความต้องการ จะเป็นการพิจารณาความต้องการของผู้เรียนเป้าหมายของการเรียนรู้และข้อจำกัดต่างๆรวมทั้งส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ส่วนการวิเคราะห์ส่วนหน้า จะเป็นการพิจารณาสถานกราณ์ การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ การวิเคราะห์วัตถุประสงค์การวิเคราะห์สื่อและส่วนอื่นๆ สำหรับขั้นตอนที่ 2 ถึงขั้นตอนสุดท้าย จะมีรายละเอียดคล้ายกับรูปแบบการสอน ADDIE ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว


       รูปแบบการสอนของดิค แอนด์ แคเรย์ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในปี คศ. 1996 โดยมีรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งพบว่ารูปแบบการสอนในปี คศ.1996 ได้รับความนิยมมากกว่า ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การแยกแยะเป้าหมายการเรียนการสอน และสิ้นสุดที่ขั้นตอนของการพัฒนาและสรุปการประเมิน ตามรายละเอียดดังนี้

1. แยกแยะเป้าหมายของการเรียน (Identify Instructional Goals) ขั้นตอนแรกเป็นการแยกแยะเป้าหมายของบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามที่ต้องการ เป้าหมายของการเรียนในส่วนนี้จะเกิดจากการวิเคราะห์ความต้องการ (Need Analysis) ก่อน แล้วจึงกำหนดเป้าหมายของการเรียน โดยพิจารณาจากส่วนต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
    1.1 รายละเอียดของเป้าหมายของการเรียนที่มีอยู่
    1.2 ผลจากการวิเคราะห์ความต้องการ
    1.3 ข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่าง ๆ ในการเรียน
    1.4 ผลจากการวิเคราะห์ผู้เรียนคนอื่นๆที่เรียนจบแล้ว

2. วิเคราะห์การเรียน (Conduct Instructional Analysis) หลังจากได้เป้าหมายของการเรียนแล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาบทเรียนและวิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อตัดสินว่า ความรู้และทักษะใดที่จะทำให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
    2.1 กำหนดสมรรถนะของผู้เรียนหลังจากที่เรียนจบแล้ว
   2.2 กำหนดขั้นตอนการนำเสนอบทเรียน

3. กำหนดพฤติกรรมของผู้เรียนที่จะเข้าเรียน (Identify Entry Behaviors) เป็นขั้นตอนที่จะพิจารณาว่าพฤติกรรมใดที่จำเป็นของผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนการสอน ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
    3.1 การกำหนดความรู้พื้นฐานและทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน
    3.2 คุณลักษณะที่สำคัญของผู้เรียน ในการดำเนินกิจกรรมทางการเรียนของบทเรียน

4. เขียนวัตถุประสงค์ของการกระทำ(Write Performance Objectives) ในที่นี้ก็คือการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สามารถวัดได้หรือสังเกตได้ของบทเรียนแต่ละหน่วย ซึ่งผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของงานหรือภารกิจหลังจากสิ้นสุดบทเรียนแล้ว โดยนำ ผลลัพธ์ที่ได้จาก 3ขั้นตอนแรกมาพิจารณา ซึ่งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้
    4.1 งานหรือภารกิจ (Task) ที่ผู้เรียนแสดงออกในรูปของการกระทำหลังจบบทเรียนแล้ว ซึ่งสามารถวัดหรือสังเกตได้
    4.2 เงื่อนไข (Condition) ประกอบงานหรือภารกิจนั้น ๆ
    4.3 เกณฑ์ (Criterion) ของงานหรือภารกิจของผู้เรียนที่กระทำได้

5. พัฒนาเกณฑ์อ้างอิงเพื่อใช้ทดสอบ (Develop Criterion Reference Tests) เป็นการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานของบทเรียนที่ผู้เรียนจะต้องทำได้หลังจากจบบทเรียนแล้ว ในที่นี้ก็คือเกณฑ์ที่ใช้วัดผลจากแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบต่างๆ ที่ใช้ในบทเรียน

6. พัฒนากลยุทธ์ด้านการเรียนการสอน (Develop Instructional Strategy) เป็นการออกแบบและพัฒนารายละเอียดต่าง ๆ ของบทเรียน ให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้รวมทั้งการพิจารณารูปแบบการนำเสนอบทเรียนด้วย เช่น ระบบเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative System) ระบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered System) หรือ ระบบผู้สอนเป็นผู้นำ (Instructor-led System) เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ของกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นในขั้นตอนนี้จะอยู่ในรูปของบทดำเนินเรื่อง (Storyboard) ของบทเรียน ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
    6.1 การนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
    6.2 กิจกรรมการเรียนการสอน
    6.3 แบบฝึกหัดและการตรวจปรับ
    6.4 การทดสอบ
   6.5 การติดตามผลกิจกรรมการเรียนการสอน

7. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop & Select Instructional Materials)เป็นขั้นตอนของการพัฒนาบทเรียนจากบทดำเนินเรื่องในขั้นตอนที่ผ่านมา รวมทั้งการเลือกใช้วัสดุการเรียนที่สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของบทเรียน ได้แก่ สื่อการเรียนทั้งสื่อที่มีอยู่เดิมหรือสื่อที่ต้องสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้จากขั้นตอนนี้ มีดังนี้
    7.1 คู่มือการใช้บทเรียนของผู้เรียนและผู้สอน
    7.2 บทเรียนที่พัฒนาขึ้น ซึ่งอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
       7.2.1 ระบบสนับสนุนการกระทำด้วยอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EPSS (Electronic Performance Support Systems)
       7.2.2 บทเรียนสำหรับผู้สอน ในกรณีที่เป็นระบบผู้สอนเป็นผู้นำ
       7.2.3 บทเรียนคอมพิวเตอร์แบบใช้งานโดยลำพัง เช่น CAI, CBT
       7.2.4 บทเรียนคอมพิวเตอร์แบบใช้งานบนเครือข่าย เช่น WBI, WBT
       7.2.5 e-Learning

8. พัฒนาและดำเนินการประเมินผลระหว่างดำเนินการ (Develop & Conduct FormativeEvaluation) เป็นการประเมินผลการดำเนินการของกระบวนการออกแบบบทเรียนทั้งหมด เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงบทเรียนให้มีคุณภาพดีขึ้น ในขั้นตอนนี้ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อย ดังนี้
    8.1 การประเมินผลแบบตัวต่อตัว (One-to-One Evaluation)
    8.2 การประเมินผลแบบกลุ่มย่อย (Small-Group Evaluation)
    8.3 การประเมินผลภาคสนาม (Field Evaluation)

9. พัฒนาและดำเนินการประเมินผลสรุป (Develop & Conduct Summative Evaluation)เป็นการประเมินผลสรุปเกี่ยวกับบทเรียนที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ การหาคุณภาพและประสิทธิภาพของบทเรียน ซึ่ง จำแนกออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้
    9.1 การประเมินผลระยะสั้น (Short Period Evaluation)
    9.1 การประเมินผลระยะยาว (Long Period Evaluation)

10. ปรับปรุงการเรียนการสอน (Revise Instruction) เป็นการปรับปรุงและแก้ไขบทเรียนที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ เนื้อหา การสื่อความหมาย การพัฒนากลยุทธ์ การทดสอบ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และส่วนประกอบต่าง ๆ ขอบทเรียน โดยพิจารณาจากผลลัพธ์ที่ได้



ระบบการสอนของเกอร์ลาซและอีลี (Gerach & Ely Model)
                  นับเป็นระบบการสอนที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการแบ่งขั้นตอนออกได้เป็น 10 ขั้นตอน คือ
                     1. การกำหนดวัตถุประสงค์ (Specification of Objectives) คือการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนขึ้นมาก่อนว่าควรเป็น วัตถุประสงค์เฉพาะ หรือ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติและผู้สอนวัดหรือสังเกตได้
                     2. การกำหนดเนื้อหา (Specification of Content) เป็นการเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อกำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และบรรลุถึงวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ตั้งไว้
                     3. การประเมินพฤติกรรมเบื้องต้น (Assessment of Entry Behaviors) เป็นการประเมินก่อนเรียน เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมและภูมิหลังของผู้เรียนก่อนที่จะเรียนเนื้อหานั้น ๆว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่จะสอนนั้นมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นแนวทางในการที่จัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม

                     4. การกำหนดกลยุทธของวิธีการสอน (Determination of Strategy) เป็นวิธีการของผู้สอนในการใช้ความรู้ เลือกทรัพยากรและกำหนดบทบาทของผู้เรียนในการเรียน ซึ่งเป็นแนวทางเฉพาะเพื่อช่วยให้สามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการเรียน
การสอนนั้น กล่าวคือ

                            4.1 การสอนแบบเตรียมเนื้อหาความรู้ให้แก่ผู้เรียนโดยสมบูรณ์ทั้งหมด (expository approach) เป็นการสอนที่ผู้สอนป้อนความรู้ให้ผู้เรียนโดยการใช้สื่อต่าง ๆ และจากประสบการณ์ของผู้สอนโดยที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องค้นคว้าหาความรู้ใหม่ด้วยตนเองแต่อย่างใด เช่น การสอนแบบบรรยาย
การสอนแบบอภิปราย 
                            4.2 การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้หรือแบบไต่สวน (discovery or inquiry approach) ผู้สอนมีบทบาทเพียงเป็นผู้เตรียมสื่อและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการเรียน เป็นการจัดสภาพการณ์ให้การเรียนรู้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้โดยผู้เรียนต้องค้นคว้าหาความรู้เอาเอง

                     5. การจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียน (Organization of Groups)เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสมกับวิธีสอนและเพื่อให้ได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างเหมาะสมโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ เนื้อหาและวิธีการสอนด้วย
                     6. การกำหนดเวลาเรียน (Allocation of Time) โดยขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเรียน วัตถุประสงค์ สถานที่และความสนใจของผู้เรียน

                     7. การจัดสถานที่เรียน (Allocation of Space) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เรียน เช่น
                            7.1 ห้องเรียนขนาดใหญ่ สามารถสอนได้ครั้งละ 50 - 300 คน
                            7.2 ห้องเรียนขนาดเล็ก เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแบบกลุ่มย่อยหรือการจัดกลุ่มสัมมนาหรืออภิปราย
                            7.3 ห้องเรียนแบบเสรีหรืออิสระ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนตามลำพังหรืออาจเป็นห้องศูนย์สื่อการสอนที่มีคูหาเรียนเป็นรายบุคคล

                     8. การเลือกสรรทรัพยากร (Allocation of Resource) เป็นการที่ผู้สอนเลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการสอน และขนาดของกลุ่มผู้เรียน เพื่อให้การสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ 
                            8.1 สื่อบุคคลหรือของจริง
                            8.2 วัสดุและอุปกรณ์เครื่องฉาย
                            8.3 วัสดุและอุปกรณ์เครื่องเสียง
                            8.4 สื่อสิ่งพิมพ์
                            8.5 วัสดุที่ใช้แสดง

                     9. การประเมินสรรถนะ (Evaluation of Preformance) เป็นการประเมินความสามารถและพฤติกรรมของผู้เรียนอันเกิดจากกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือระหว่างผู้เรียนกับสื่อการสอน การประเมินเป็นสิ่งสำคัญมากในการเรียนและเป็นกระบวนการสุดท้ายของระบบการสอนที่ยึดเอาวัตถุประสงค์ที่วางไว้เป็นหลักในการดำเนินงาน

                     10. การวิเคราะห์ข้อมูลป้อนกลับ (Analysis of Feedback) เพื่อทำให้ทราบว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด อันจะเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขระบบการสอนให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น



ระบบการสอนของ เจอโรลด์เคมป์ (Jerrold Kemp Model)
     เจอโรลด์ เคมป์ (Jerrold Kemp)  ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1990 ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่ง พิจารณาจากองค์ประกอบเกี่ยวกับการเรียนการสอนอย่างครบถ้วน สามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารูปแบบการเรียนการสอนของเจอโรลด์เคมป์ จะดูเหมือนว่าค่อนข้างยุ่งยากกว่ารูปแบบการสอนอื่นๆ แต่ก็เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
     1. ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ ไปของบทเรียนและผู้เรียน
     2. ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
     3. ระดับที่สาม เป็น การปรับปรุง แก้ไขบทเรียน
     4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่ การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้

1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด (Learner Needs,Goal, Priorities, Constraints) เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ขั้นแรกของการเริ่มต้นในกระบวนการออกแบบระบบการสอนหรือบทเรียน จึงจัดอยู่ในศูนย์กลางของระบบและเป็นพื้นฐานของขั้นตอนย่อย ๆ ทั้ง 9 ขั้นตอน 

2. คุณสมบัติของผู้เรียน (Learner Characteristics) เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้ระบบการสอนหรือบทเรียนที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยการพิจารณาคุณสมบัติจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
     2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป (General Characteristics) เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา
     2.2 ความสามารถเฉพาะทาง (Specify Entry Competencies)
     2.3 รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Styles) เช่น การใช้สื่อ และกิจกรรม เป็นต้น

3. เป้าหมายของงานที่ได้รับ (Job Outcomes Purpose) เป็นการพิจารณาเป้าหมายของงานที่ผู้เรียนจะได้รับหลังจบบทเรียนแล้ว เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป

4. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจรายวิชา (Subject Task Analysis) เป็นการวิเคราะห์งานหรือ ภารกิจที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้ หรือ สังเกตได้ การวิเคราะห์งานในขั้นตอนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนต่างๆ ดังนี้
     4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
     4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
     4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน

5. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน โดยพิจารณาจากผลของการวิเคราะห์งานที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบบทเรียนและการประเมินผลบทเรียน วัตถุประสงค์ในขั้นตอนนี้ จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย

6. กิจกรรมการสอน (Teaching Activities) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนในกระบวนการเรียนการสอน โดยพิจารณาผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนและความสนใจของผู้เรียน นอกจากนี้การเลือกวัสดุและสื่อการสอน ก็จะต้องให้สอดคล้องกับกิจกรรมการสอนด้วยเช่นกัน

7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน (Instructional Resources) เป็นการพิจารณาเป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่างๆเพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากผู้เรียนและสถานการณ์การเรียนการสอนเป็นสำคัญ

8. สิ่งสนับสนุนบริการ (Support Services) เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ เช่น สถานที่ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์บุคลากและตารางเวลาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน

9. การประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Evaluation) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียนหรือระบบการสอนที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขบทเรียนต่อไป

10. การทดสอบก่อนบทเรียน (Pretesting) เป็นการทดสอบผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม และพื้นฐานความรู้เพื่อแนะนำให้มีการเพิ่มเติมความรู้ใหม่ก่อนศึกษาบทเรียนหรืหาแนวทางช่วยเหลือผู้เรียนต่อไป

         รูปแบบการสอนของเจอโรลด์ เคมป์ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในการพัฒนาระบบการสอนหรือบทเรียนต่าง ๆ ต่อ มาได้มีการปรับเปลี่ยนรูป แบบการสอนใหม่ เพื่อนำไปใช้ออกแบบบทเรียนที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ในปีคศ.1994 ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 3 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอกดังนี้
1. ระดับในสุด ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
2. ระดับที่สอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขบทเรียน (Revision) และขั้นตอนการประเมินผลระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation)
3. ระดับนอกสุด ประกอบด้วย สิ่งสนับสนุนบริการ (Support Services) การบริหารโครงการ (Project Management) และการประเมินผลสรุป (Summative Evaluation)


     สำหรับขั้นตอนย่อยๆ มีดังนี้
1. ปัญหาการเรียนการสอน (Instructional Problems) เป็นการกำหนดปัญหาการเรียนการสอน เพื่อนำไปพิจารณาออกแบบและพัฒนาบทเรียน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน (Learner Characteristics) เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้บทเรียนหรือ ระบบการสอนที่พัฒนาขึ้น
3. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task Analysis) เป็นการวิเคราะห์งานที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้หรือสังเกตได้หลังจบบทเรียน
4. วัตถุประสงค์การเรียนการสอน (Instructional Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน
5. การเรียงลำดับเนื้อหา (Content Sequencing) เป็นการกำหนดความสำคัญของเนื้อหาโดยเรียงลำดับตามหลักประสบการณ์การเรียนรู้
6. กลยุทธ์การเรียนการสอน (Instructional Strategies) เป็นการกำหนดกลยุทธ์การเรียนการสอน เพื่อนำเสนอบทเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การนำส่งการเรียนการสอน (Instructional Delivery) เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการนำส่งบทเรียนไปยังผู้เรียน ได้แก่นำเสนอเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเล็ก และนำเสนอเป็นรายบุคคล
8. เครื่องมือวัดผลการเรียนการสอน (Instructional Instruments) เป็นการออกแบบเครื่องมือวัดผล เพื่อใช้สำหรับประเมินผลผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้

9. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน (Instructional Resources) เป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้การเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ





วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

หัวใจของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

สัปดาห์ที่ 3 วิชา นวัตกรรมเเละเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

                                                           องค์ประกอบของการจัดการศึกษา

- Objective  จะต้องมี Contence เพื่อนำความรู้มาตั้งจุดประสงค์ที่ชัดเจน มีเป้าหมายชัดเจน
- Learning Experience จะต้องอาศัยประสบการณ์พัฒนาตนเอง
- Evaluation จะต้องเข้าใจ วัดผลประเมินผลอย่างไร

Objective
- ความรู้ มาตรฐานการเรียนเเละตัวชี้วัด 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
- สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5 สมรรถนะ
- คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ

พฤติกรรมการเปลี่ยนแปลง
- พุทธพิสัย ( Cogmitive ) รู้และอธิบายได้
- จิตพิสัย ( Affective ) ความมุ่งมั่นใฝ่รู้
- ทักษะพิสัย ( Psychomotor)

การวิเคราะห์หลักสูตร

  • ศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตร
  • ศึกษาสาระในกลุ่มสาระการเรียนรู้
  • ศึกษามาตรฐาน/ตัวชี้วัด
  • ศึกษาคำอธิบายรายวิชา
การเรียนแบบใหม่เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่
  • ความอยากรู้อยากเห็น(ความรู้เดิมและประสบการณ์เดิม)
  • นักเรียน(กิจกรรมการเรียนการสอน)
  • การสร้างความรู้ใหม่ด้วยตนเอง(Construct)
การออกแบบการจัดการเรียนรู้

      ผุ้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะ คุณลักษณะที่พึงประสงค์และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสม เลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล

บทบาทผู้สอน
  • วิเคราะห์ผู้เรียน
  • กำหนดเป้าหมาย
  • ออกแบบการเรียนรู้
  • จัดบรรยากาศที่ต่อการเรียนรู้
  • เลือกใช้สื่อ
  • ประเมิน
  • วิเคราะห์ผลการประเมิน

สำหรับ E-TEACHER ที่ตรงกับกับตัวเองคือ Extended เป็นคนที่ค้นคว้าหาข้อมูลใหม่อยู่เสมอ โดยสืบค้นจากสื่อเทคโนโลยีเเละอินเทอร์เน็ตในเวลาว่างจากการทำงาน ผ่านทางอุปกรณ์มือถือและเครื่องคอมพิวเตอร์